หากเราใช้ชีวิตหรือเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศ และจำเป็นต้องขับรถด้วยตนเอง สิ่งหนึ่งที่เราต้องทราบและปฏิบัติตามก็คือ “กฎหมายจราจร” ของประเทศนั้นๆ ค่ะ ซึ่งกฎหมายจราจรในต่างประเทศจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ที่ประเทศนั้นๆ จะกำหนดข้อบังคับหรือกฎหมายบัญญัติไว้ค่ะ วันนี้ Lovebigbike จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจรของต่างประเทศพอสังเขปกันค่ะ

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/

กฎหมายจราจรของประเทศที่ Lovebigbike จะพูดถึงในที่นี้ก็คือ “ประเทศญี่ปุ่น” ค่ะ สาเหตุที่ Lovebigbike พูดถึงกฎจราจรของประเทศญี่ปุ่นก็เพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นระเบียบวินัยสูงมาก ทำให้กฎหมายต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นมีความเข้มงวดและรุนแรงมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นหากใครต้องการไปท่องเที่ยว ไปทำงาน หรือใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น และจำเป็นต้องขับรถด้วยตนเองแล้วล่ะก็ เราจำเป็นต้องทราบกฎหมายจราจรและข้อบังคับในการขับขี่รถให้ดีเสียก่อน เพื่อให้ขับขี่รถได้อย่างปลอดภัยทั้งตัวเราและคนอื่นค่ะ ซึ่งกฎหมายจราจรของญี่ปุ่นที่ Lovebigbike นำมาสรุป มีดังนี้คือ…

– ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบการเดินรถอยู่ทางด้านซ้ายมือของถนน และพวงมาลัยอยู่ทางด้านขวามือ เช่นเดียวกับประเทศไทยค่ะ

– ผู้ขับขี่สามารถใช้ใบขับขี่สากลได้ตามปกติ เมื่อวีซ่าของเรามีอายุไม่เกิน 90 วัน แต่หากถือวีซ่านักเรียน หรือทำงาน ใบขับขี่สากลจะมีการใช้ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีกค่ะ และหากกลับมาต่ออายุใบขับขี่สากลที่ไทยไม่เกิน 3 เดือน จะไม่สามารถใช้ใบขับขี่สากลได้นะคะ

– ก่อบขับขี่รถบนท้องถนน ทั้งผู้ขับรถและผู้โดยสารที่นั่งแถวหลังทุกคนจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง หากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย และในกรณีที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบอาศัยอยู่ในรถจะต้องให้เด็กนั่งบนเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Child Seat / Baby Car Seat) ที่ติดตั้งโดยเฉพาะด้วย

– ในขณะขับขี่รถ ต้องขับขี่รถด้วยอัตราความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด คือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับถนนทั่วไป และ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับบนทางด่วนค่ะ

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/

– คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเท้ามาเป็นอันดับแรก โดยกฎหมายของญี่ปุ่นนี้จะให้ความคุ้มครองคนเดินเท้าเป็นพิเศษ ดังนั้นขณะขับรถ ผู้ขับขี่ต้องให้ความระมัดระวังแก่ผู้ใช้ทางเท้า หากต้องการเลี้ยวรถบนบริเวณทางแยก จะต้องหยุดรถให้คนเดินทางเท้าข้ามถนนไปได้ก่อนแล้วจึงจะขับรถต่อไป หากฝ่าฝืนกฎจราจรฐานกีดขวางการข้ามถนน การสัญจรบนทางเท้า ไม่ชะลอรถในถนนคนเดิน หรือทำให้ผู้เดินเท้าได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ผู้ขับรถจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงค่ะ

– ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการคุยโทรศัพท์ หรือดูหน้าจอขณะรับ-ส่งข้อความ แม้แต่รถติดสัญญาณไฟแดงอยู่ก็ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือเช่นกันค่ะ

– หากดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะภายหลังจากการดื่ม หรือแม้แต่มีแอลกอฮอล์ตกค้างจากวันก่อนหน้าก็ตาม หากตรวจพบด้วยเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายฐานขับรถขณะเมาสุรา และหากปฏิเสธในการทดสอบก็จะถูกลงโทษด้วยเช่นกันค่ะ โดยกฎหมายญี่ปุ่นเกี่ยวกับเมาแล้วขับนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมไปถึงผู้สนับสนุนให้ดื่มสุรา และผู้โดยสารที่ไม่ได้ดื่มสุรา แต่อาศัยรถของผู้ขับที่เมาสุราก็อาจถูกลงโทษด้วยเช่นกันค่ะ ดังนั้นห้ามนั่งรถไปกับผู้ขับรถขณะมึนเมา คนอื่นที่ไม่สนิทคุ้นเคยกันดี หรือแม้แต่นั่งไปกับผู้ที่ไม่มีประกันรถ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น เราอาจจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

– หากเห็นป้ายหยุดรถชั่วคราว หรือด้านหน้าทางข้ามทางรถไฟ จะต้องหยุดรถให้สนิทก่อนแล้วมองซ้ายและขวา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและไม่มีรถไฟกำลังวิ่งมา รวมไปถึงตรวจสอบถนนข้างหน้าให้แน่ใจด้วยว่าสามารถขับรถข้ามทางรถไฟได้อย่างปลอดภัย โดยการขับข้ามทางรถไฟนี้จะต้องเปิดกระจกรถในตอนหน้าลงทั้งฝั่งคนขับและฝั่งข้างคนขับด้วย เพื่อให้ได้ยินว่ามีเสียงรถไฟกำลังจะวิ่งมาหรือไม่ค่ะ (หากไม่หยุดรถถือว่าผิดกฎจราจรค่ะ)

– ขับรถให้ระวังในเขตพื้นที่ห้ามแซง โดยห้ามแซงรถในเขตพื้นที่ห้ามแซงที่มีเส้นกลางถนนเป็นสีเหลือง ให้ขับรถไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่านเขตห้ามแซงแล้วจึงจะสามารถแซงรถได้อย่างปลอดภัย (ให้สังเกตเส้นกลางถนนเป็นหลักค่ะ หากเส้นกลางถนนเป็นสีเหลือง คือ “เขตพื้นที่ห้ามแซง” แต่หากเส้นกลางถนนเป็นเส้นสีขาว คือ สามารถแซงรถได้) นอกจากนี้หากขับแซงรถพ้นขึ้นไป ผู้ขับจะต้องเปิดไฟฉุกเฉินแบบผ่าหมากหรือกะพริบสัญญาณไฟ 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ

เครดิตภาพ : https://commons.wikimedia.org/

– การจอดรถนั้น โดยมากแล้วห้ามจอดรถริมถนน และหากต้องการจอดรถ ให้จอดได้เฉพาะเขตพื้นที่กรอบสีขาวที่จัดไว้ หรือในบริเวณที่มีบริการ Coin Parking ถึงจะปลอดภัยที่สุดค่ะ ที่สำคัญ ห้ามจอดรถโดยติดเครื่องยนต์เด็ดขาดค่ะ

– ไม่ควรขับรถในเวลากลางคืน หรือบนถนนที่มีหิมะ มิฉะนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้

– ในประเทศญี่ปุ่น จะไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด หากต้องการเลี้ยวซ้าย ให้รอสัญญาณไฟจราจรเท่านั้น เรียกง่ายๆ ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับสัญญาณไฟจราจรค่ะ

– ในกรณีที่ขับรถบนทางด่วน สามารถวิ่งรถทางเลนขวาได้ แต่ทางที่ดี หากแซงรถแล้วให้เบี่ยงรถชิดเข้าเลนซ้ายหรือเลนกลางจะดีที่สุดค่ะ เนื่องจากเลนขวานี้เป็นทางของรถฉุกเฉินอย่างรถตำรวจ รถพยาบาล หรือรถดับเพลิงที่ใช้ผ่าน หากขับรถวิ่งทางขวาตลอดจะถือว่าผิดกฎจราจรค่ะ อีกทั้งห้ามจอดรถบนไหล่ทางในทุกกรณี เว้นแต่ในกรณีที่รถเสียหรือเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้นค่ะ

– รถที่จะเลี้ยวขวาต้องรอให้รถที่มาจากทางตรงหรือรถที่กำลังจะเลี้ยวซ้ายมีสิทธิ์ผ่านก่อน แต่หากต้องการจะเลี้ยวขวา ต้องรอให้รถที่ขับมาจากทางตรงหรือเลี้ยวซ้ายผ่านก่อนแล้วจึงจะเลี้ยวได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ต้องระวังคนเดินเท้าขณะเลี้ยวและให้คนเดินเท้ามีสิทธิ์ผ่านทางเสมอ

– หากขับรถในเวลากลางคืน หากรถติดสัญญาณไฟแดงอยู่ (โดยเฉพาะคันข้างหน้าสุด) ผู้ขับจะปิดไฟหน้ารถ เพื่อไม่ให้แสงไฟแยงตาผู้ขับคนอื่นๆ

เครดิตภาพ: https://cs.wikipedia.org/

– การจ่ายค่าทางด่วน จะมีป้ายบอกทางขึ้นทางด่วนเป็นสีเขียว ซึ่งบนทางด่วนนี้จะมีแยกสำหรับช่องทางเดินรถสำหรับบุคคลทั่วไป, ช่องทางเดินรถสำหรับผู้ถือบัตร ETC และช่องทางเดินรถที่รวมทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจะต้องใช้ช่องทางเดินรถสำหรับบุคคลทั่วไป เนื่องจากช่องทางเดินรถสำหรับผู้ถือบัตร ETC จะใช้ได้เฉพาะสำหรับผู้ที่ถือบัตร ETC ไว้เท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวจะไม่มีสิทธิ์ถือครองบัตรนี้เด็ดขาด เว้นแต่ว่าบริษัทเช่ารถยนต์บางแห่งจะมีให้เช่า แต่ในกรณีที่มีบัตร ETC ให้นำบัตรเสียบกับเครื่องอ่านที่ติดอยู่กับรถเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าเลน ETC (สีม่วง) ได้ นอกนั้นต้องเข้าช่องสีเขียวเท่านั้น ส่วนการจ่ายค่าทางด่วนจะมี 2 แบบค่ะ คือ แบบจ่ายค่าทางด่วนครั้งเดียวในราคาคงที่สำหรับทางด่วนในเมือง กับแบบรับตั๋วแล้วไปจ่ายขาออกสำหรับทางด่วนระหว่างเมือง

– ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ให้ปฏิบัติดังนี้ คือ…

  1. จอดรถในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
  2. โทรหมายเลข 119 เพื่อเรียกรถพยาบาลในกรณีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้
  3. โทรหมายเลข 110 เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทำตามขั้นตอนที่ตำรวจแนะนำ รวมไปถึงรายงานเหตุการณ์การเกิดอุบัติเหตุให้ตำรวจทราบ แม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม
  4.  ติดต่อบริษัทที่เช่ารถอยู่แล้วทำตามขั้นตอนที่บริษัทแนะนำ แต่หากเกิดเหตุการณ์รถเสีย น้ำมันหมด สามารถโทร.ติดต่อบริษัทรถเช่าได้เลย

– ผู้ขับรถต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรอย่างเคร่งครัด โดยมีหลักปฏิบัติดังนี้คือ…

  1.  ให้หยุดรถเสมอ เมื่อสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเป็น “สีแดง” ไม่ว่าจะขับตรงไป หรือเลี้ยวซ้าย-ขวาก็ตาม ก็ต้องหยุดรถทั้งสิ้นและให้รอจนกว่าสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่ถ้ามีลูกศรสีเขียวปรากฏขึ้น จึงจะสามารถขับไปเฉพาะทิศทางที่ลูกศรชี้ระบุได้เท่านั้น
  2. สามารถขับตรงไป หรือเลี้ยวซ้าย-ขวาได้ เมื่อสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเป็น “สีเขียว”
  3. ให้หยุดรถก่อนถึงเส้นขาวที่ตีไว้ เมื่อสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าเป็น “สีเหลือง” และกำลังจะเปลี่ยนเป็น “สีแดง” อย่างเร็ว แต่หากไม่สามารถหยุดรถที่เส้นหยุดรถ หรือการหยุดอาจก่อให้เกิดอันตราย อนุญาตให้ผู้ขับสามารถขับต่อไปได้ทันที ทั้งนี้ให้ระวังการขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดงด้วย เนื่องจากการฝ่าสัญญาณไฟแดงจะผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง
  4. กรณีที่เป็นสี่แยกไฟแดง โดยปกติที่ญี่ปุ่นจะเปิดสัญญาณไฟเขียวทั้งสองฝั่ง หากเลี้ยวซ้าย สามารถขับเลี้ยวได้เลยค่ะ แต่ถ้าจะเลี้ยวขวา ให้ขับรถไปรอที่กลางสี่แยก เมื่อไม่มีรถขับสวนทางมาก็สามารถเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ หรือถ้ามีบางแยกเปิดไฟเขียวเป็นทางตรง และมีไฟแดงข้างๆ อีกอัน จะไม่สามารถเลื่อนรถเพื่อไปรอเลี้ยวค่ะ ส่วนกรณีที่ไฟเขียวปรากฏขึ้นตอนรถติด คนญี่ปุ่นจะไม่ขับไปจอดขวางกลางสี่แยกค่ะ เค้าจะเลื่อนรถไปข้างหน้าก็ต่อเมื่อมั่นใจว่ารถจะไม่ไปกีดขวางการจราจรค่ะ และในกรณีที่ต้องการกลับรถตามสี่แยกไฟแดง หากไม่มีป้ายห้ามกลับรถก็จะสามารถกลับรถได้ค่ะ แต่จะไม่แนะนำให้ทำเท่าไหร่ เนื่องจากถนนแคบและโอกาสในการเลี้ยวไม่พ้นมีสูงมาก
  5. หากเจอแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟแดง หรือจะขับรถออกจากซอย จะมีป้ายให้หยุดรถที่พื้น เมื่อเจอป้ายนี้ ต้องหยุดรถให้สนิท แล้วมองซ้าย-ขวา เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุชนกับรถจักรยานหรือคนเดินเท้า แล้วจึงสามารถเคลื่อนรถผ่านหรือเลี้ยวรถได้ค่ะ หากไม่หยุดจะถือว่าผิดกฎจราจรนะคะ

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/